เช้าของวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2534 แพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลลำปลายมาศ
อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ พากันทำคลอดให้หญิงวัย 24 ขณะที่ผู้เป็นสามีและญาติ ๆ ของเธอรอที่หน้าห้อง
สีหน้าของแต่ละคนนั้นเต็มไปด้วยความหวัง
ในสายของวันนั้นเองเธอก็ได้ให้กำเนิดเด็กทารกเพศชาย ผู้เป็นสามีและญาติๆ ต่างดีใจที่ได้ลูกชายและหลานชาย
สำหรับชื่อของเด็กนั้นผู้เป็นพ่อและแม่ได้ให้พระตั้งชื่อให้และชื่อของเด็กคนนั้นคือ
ชญาวัต สอิ้งรัมย์ ซึ่งน่าจะหมายถึงนักปราชญ์ สำหรับชื่อเล่นนั้นยายทวดเรียกว่า
หม่อง และเด็กชายคนนี้ก็มีน้องสาวอีกคน ซึ่งอายุห่างกันห้าปีเด็กชายได้เติบโตในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในชนบท
ซึ่งผู้เป็นบิดาและมารดาต่างมีอาชีพทำนา ทำให้ชีวิตในหมู่บ้านชนบทที่ชื่อว่า
บ้านบุโพธิ์ ตำบลบุโพธิ์ ซึ่งเป็นตำบลเล็กๆ ในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เขาได้ซึมซับความเป็นชาวเกษตรกรอย่างเต็มที่
เด็กคนนั้นได้เข้าเรียนในโรงเรียนวัดบ้านบุโพธิ์
ซึ่งมีตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงประถมศึกษาปีที่หก
เด็กน้อยผู้นี้เป็นเด็กที่ฉลาดด้วยการเรียนได้อันดับหนึ่งของห้องจนจบประถมศึกษาปีที่หก
ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้จักเด็กคนนี้กันทุกคน เมื่อเรียนจบชั้นประถมก็สอบเรียนชั้นมัธยมต่อที่โรงเรียนลำปลายมาศจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกในสายวิทย์
คณิต ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามก็ยังฉายแววฉลาดด้วยผลการเรียน top ten ของรุ่น
พอเรียนชั้นมัธยมปลายเข้าสู่วัยรุ่น ก็ได้เปลี่ยนชื่อเล่นเป็น มอลต์
ซึ่งทำให้ใครหลายๆคนได้รู้จักเด็กคนนี้มากขึ้น
ในเรื่องการเรียนเด็กคนนี้อาจไม่ค่อยตั้งใจมากเท่าสมัยก่อน เพราะเป็นช่วงวัยรุ่นจะติดเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ ชอบเที่ยวมากกว่าที่จะตั้งใจเรียน แต่ก็ไม่ผิดหวังเพราะผลการเรียนเมื่อจบออกมาก็ยังเป็นอับดับต้นๆ ของรุ่น
เมื่อถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตในช่วงมัธยมปีที่หกเด็กหนุ่มคนนี้ได้แอ็ดมิดชั่นเข้าครูสังคมศึกษา
ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เหตุผลที่เลือกเรียนครูสังคมก็เพราะว่า
อยากจะเป็นครูเพื่อสอนหนังสือแก่เด็กที่อยู่ในชนบทและขาดโอกาสให้เทียบเท่ากับเด็กในเมือง
และที่เลือกสังคมศึกษาเพราะว่าเบื่อสายวิทย์ คณิต ที่ต้องมีแต่ตัวเลข
จึงหันเหมาเรียนสายสังคมแทน และปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เลือกเรียนที่ มศว ก็คือ
ได้ไปค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และได้เจอกับบทความที่ว่า “เรียนครูที่ไหน
ไม่ภูมใจเท่า มศว” จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เลือกเรียนที่นี่
ปัจจุบันเด็กหนุ่มผู้นี้กำลังศึกษาคณะสังคมศาสตร์
เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชั้นปีที่ 3 นอกเหนือจากความใฝ่ฝันที่จะเป็นครูแล้ว
เด็กหนุ่มผู้นี้ก็มีความฝันอยากจะเป็นนักร้อง จึงเดินสายประกวดร้องเพลง แต่ก็ตกรอบมาทุกครั้งแต่ก็ไม่ได้บั่นทอนกำลังใจของเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย
ความฝันยังไม่จบสิ้นจึงฝันอยากเป็นพิธีกรจึงไปออดิชั่นแต่ก็ไม่ผ่าน
แต่ได้เป็นพิธีกรภาคสนามเทปหนึ่งได้ค่าตัวหนึ่งพันบาท ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นพิธกร
แต่ก็อยากทำรายการเป็นของตนเอง สักวันเด็กหนุ่มผู้นี้คงจะมีรายการเป็นของตนเองแน่นอน
ความฝันแต่ละอย่างของเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงแม้จะขัดแย้งกัน
แต่ความฝันที่อยากเป็นครูนั้นคือเป้าหมายที่แท้จริง
เพราะสังคมของเราทุกวันนี้มีความแตกต่างทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม
และความเสื่อมของจริยธรรมมากขึ้น เด็กหนุ่มผู้นี้จึงอยากเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
และยกกระชับความเป็นอยู่ของคนในชนบทให้เท่าเทียมกับคนในเมืองมากขึ้น